ตลาดถุงยางอนามัย เริ่มรับแรงกระแทกจากผลกระทบอัตราการเกิดใหม่น้อย คนตายต่อปีสูง ไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุ และการแข่งขันจากแบรนด์จีน “ราคาต่ำ”
แม้โจทย์ธุรกิจท้าทาย แต่แบรนด์หยุดเติบโตไม่ได้ ต้องหาช่องว่างตลาดให้เจอ เจาะภารกิจ “วันทัช” พลิกกลยุทธ์สื่อสารจากอดีตที่ผู้บริโภคใช้ถุงยางอนามัยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สู่การเพิ่มประสิทธิภาพโมเมนต์ความสุขมากขึ้น
วรัญญู ดารารัตนโรจน์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัทไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้จำกัด(มหาชน) ผู้ผลิตและทำตลาดถุงยางอนามัยสัญชาติไทยแบรนด์“วันทัช”(ONE TOUCH) เปิดเผยว่า ตลาดถุงยางอนามัยมีมูลค่าประมาณ 1,500 ล้านบาท โดย 9 เดือนแรกปี 2568 ตลาดอยู่ในภาวะ “ติดลบ 6%” โดยเชิงมูลค่าหดตัวไม่มากนัก เนื่องจาก 3 บิ๊กแบรนด์ ได้มีการปรับราคาขายสินค้าขึ้น ทว่า เชิงปริมาณหรือยอดขายจำนวนชิ้น “ลดลง” ค่อนข้างมาก ขณะที่ปกติตลาดจะโตราว 2-3%
ทั้งนี้ สัญญาณตลาดถุงยางอนามัย “ติดลบ” เริ่มเห็นตั้งแต่ปี 2567 ต่อเนื่องถึงปีนี้ ผลกระทบมาจากหลายปัจจัย เช่น ไทยเผชิญอัตราการเกิดที่ต่ำลงระดับ 4 แสนรายต่อปี อีกด้านกลับมาคนตายมากกว่า 6 แสนรายต่อปี และประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงอายุเต็มรูปแบบ
ปัจจุบันการมีเพศสัมพันธ์เริ่มขยายไปสู่กลุ่มคนที่อายุน้อยขึ้น อีกด้านเหมือนจะมีผลเชิงบวกต่อการใช้ถุงยางอนามัย แต่การป้องกันท้อง รวมถึงป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการป้องกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานยาคุม ยาฝังคุมกำเนิด เป็นต้น
นอกจากนี้ ตลาดถุงยางอนามัยเจอการแข่งขันสูง โดยเฉพาะจาก “แบรนด์จีน” ที่จำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ อีคอมเมิร์ซต่างๆ ซึ่งมี “ราคาต่ำ” ระดับ 5 บาทต่อชิ้น เทียบกับแบรนด์ชั้นนำในตลาด 3 ราย ถือว่าราคาค่อนข้างแตกต่างกันมาก และมีผลต่อผู้บริโภคที่มีความเปราะบางด้านกำลังซื้อ
“แบรนด์ต่างแดนทะลักเข้ามาในไทยค่อนข้างมาก ปัจจุบันที่เห็นอยู่ไม่ต่ำกว่า 20 แบรนด์ และราคาขายต่ำราว 5 บาทต่อชิ้น ของบริษัทอาจอยู่ระดับ 25 บาทต่อชิ้น สำหรับผู้บริโภคที่มีความอ่อนไหวทางด้านราคา ยินดีเสี่ยงกับคุณภาพ ยอมหันไปซื้อของราคาต่ำแทน ซึ่งประเด็นด้านคุณภาพน่าเป็นห่วง ผู้ที่เกี่ยวข้องควรมีมาตรการดูแลมากขึ้น”
จากโจทย์ตลาดถุงยางอนามัยติดลบ แต่บริษัทต้องผลักดันการเติบโตต่อเนื่อง แผนปี 2569 “วันทัช” ยังเดินหน้าสร้างแบรนด์อย่างต่อเนื่อง เพราะพฤติกรรมผู้บริโภค “ลืมเร็ว” หากสินค้าไม่สร้างแบรนด?หรือแบรนด์ไม่ขยับตัว
“หากไม่สร้างแบรนด์ ผู้บริโภคจะลืมเร็วมาก เพราะปัจจุบันข้อมูลข่าวสารทุกอย่างวิ่งเร็วมาก ไม่แค่แบรนด์เรา แต่แบรนด์คู่แข่ง โปรดักท์อื่นๆเคลื่อนเร็วมาก”
ด้านการสื่อสารตลาดบริษัทพลิกกระบวนท่าจากอดีตชูการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มาสู่การเพิ่มประสิทธิภาพ(Enhance performance)การใช้สินค้า เช่น ถุงยางอนามัยเพิ่มความรู้สึกชา ช่วยยืดกิจกรรมรักได้ยาวนานขึ้น ส่วนการออกสินค้าใหม่ยังมีต่อเนื่อง พร้อมชูจุดเด่นไซส์ที่หลากหลาย จากที่ผ่านมา Pain point ของผู้บริโภคที่เจอสินค้าไซส์ไม่ตอบโจทย์แต่ละบุคคล บริษัทจึงนำจุดแข็งในการรับจ้างผลิตถุงยางอนามัย(OEM)ให้กับแบรนด์ต่างๆ และส่งออกไปกว่า 150 ประเทศทั่วโลก มาตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย
3 ปีที่ผ่านมา การสร้างแบรนด์ “วันทัช” เน้นความสำคัญเรื่อง “ขนาดมีความสำคัญ” หรือ size matter สร้างการเติบโตด้านการรับรู้แบรนด์ การมีส่วนร่วม(Engagement)สูงถึง 800% และผลักยอดขายพุ่ง 100% เทียบจากก่อนทำ
“การฉีกกรอบการตลาดเกี่ยวกับขนาดมีความสำคัญ วันทัชเราไม่ได้อยากจะบี้คู่แข่ง หรืออยากชนะ แต่เป็นกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์โปรดักท์ใหม่ เพราะเจอ Pain point ผู้บริโภค ทำไมทั้งประเทศจึงมีถุงยางอนามัยไซส์เดียว ไม่มีขนาด 49 52 ฯ เพราะไม่ใช่ One size fits all เพราะมีการใช้แล้วหลุด สะท้อนว่าสอนค้าไม่สอดคล้องกับขนาด เพราะไม่มีผู้ผลิตทำไซส์หลากหลาย แต่บริษัทเราผลิตได้ เพราะเราทำ OEM ส่งออกทั่วโลก ทั้งยุโรป แอฟริกา ฯ สามารถหยิบสินค้าใส่กล่องทำตลาดได้เลย”
ตลาดถุงยางอนามัยมักจะมีการทำแคมเปญ กิจกรรมต่างๆช่วงวันวาเลนไทน์ ลอยกระทง วันหยุดยาวที่มีโอกาสเที่ยวต่างจังหวัด พักค้างคืน ทว่า ภารกิจของ “วันทัช” คือกระตุ้นกิจกรรมรักมีได้ทุกวัน ไม่ต้องรอดับเบิ้ลเดย์
“เราพยายามสร้างพฤติกรรมกิจกรรมรักมีได้มีได้ทุกวันโดยไม่ต้องรอ หรือมีอีเวนต์ เหตุการณ์ให้ใช้ถุงยางอนามัย เช่น วาเลนไทน์ ปีใหม่ สงกรานต์ เราต้องกระตุ้นยอดขาย”
ภาพรวมผลประกอบการ 9 เดือน “วันทัช” มีการเติบโตราว 20% ทะลุเป้าหมายที่วางไว้ ขณะที่ภาพรวมบริษัท 9 เดือน มีรายได้จากการขายและบริการ 1,364 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม จากแผนธุรกิจปีหน้า บริษัทต้องการผลักดันการเติบโตไม่เกิน 10% เนื่องจากตลาดในประเทศถือว่าแน่นแล้ว แม้ว่าประมาณการผู้บริโภคชาวไทยเมื่อมีกิจกรรมรักจะใช้ถุงยางอนามัยราว 50% ยังมีช่องว่างตลาด แต่ทางเลือกต่างมีผลต่อการใช้ถุงยางอนามัยทั้งสิ้น
ด้านความท้าทายปี 2569 ยกให้ “ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น” เนื่องจากบริษัทส่งออกกว่า 90% ทุกการแข็งค่าของค่าเงินบาท 1-2 บาทอต่อดอลลาร์ มีผลกระทบต่อกำไรหายไป
สำหรับตลาดถุงยางอนามัยในประเทศไทย “วันทัช” เป็นเบอร์ 2 ในตลาดเชิงมูลค่าครองส่วนแบ่ง 35% โดยเบอร์ 1 มี 50% และเบอร์ 3 ราว 10% รวม 3 แบรนด์ใหญ่ครองส่วนแบ่งตลาด 95% ขณะที่เชิงปริมาณบริษัทมีส่วนแบ่งตลาด 44% โดยราคาขายวันทัชต่ำกว่าคู่แข่งราว 30%
ที่มา https://www.bangkokbiznews.com/business/business/1213602