‘ข้าว–ยางพารา’สะเทือนหนัก จี้รัฐกดบาทอ่อน 35 บาท/ดอลลาร์ ตั้งราคาพยุงขั้นต่ำ


สมาคมผู้ส่งออกข้าวและยางพาราเรียกร้องรัฐบาลใหม่แก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่า โดยเสนอให้ผลักดันค่าเงินบาทให้อ่อนลงสู่ระดับ 34-35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
เสนอให้จัดตั้งกองทุนเพื่อพยุงราคาและชดเชยผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับผู้ส่งออกข้าว และกำหนดราคาพยุงขั้นต่ำสำหรับยางพาราเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร
เรียกร้องมาตรการสนับสนุนอื่น ๆ เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับผู้ประกอบการ และการส่งเสริมการใช้ยางพาราในโครงการภาครัฐเพื่อกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศ
วันนี้ (18 ก.ย. 2568) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการหารือกับผู้บริหารและคณะกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและฟื้นความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ แต่เนื่องจากติดภารกิจเร่งด่วน จึงมอบหมายให้นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส ว่าที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นำคณะร่วมหารือแทน
แหล่งข่าวจากหอการค้าไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ในครั้งนี้ สมาคมการค้าหลายแห่งได้เตรียมยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาลใหม่ โดยเฉพาะสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยและสมาคมยางพาราไทย ซึ่งต่างแสดงความกังวลต่อปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่าที่กระทบต่อการแข่งขันด้านการส่งออก พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อบรรเทาผลกระทบ
ในส่วนของสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ได้เสนอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ใช้มาตรการเชิงรุกลดความผันผวนและป้องกันไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งเกินไป โดยผลักดันให้อ่อนค่าลงสู่ระดับแข่งขันได้ที่ 34–35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ พร้อมตั้งกลไกติดตามประสานงานระหว่างรัฐบาล กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และภาคเอกชนแบบวันต่อวัน
ด่วน! “โผ ครม.อนุทิน” ถูกตีกลับ 1 ราย เหตุไม่ผ่านคุณสมบัติ
รวมถึงจัดตั้งกองทุนหรือมาตรการชดเชยผลกระทบอัตราแลกเปลี่ยนระยะสั้นแก่ผู้ส่งออกข้าว สนับสนุนการทำ Export Credit และ Forward Contract ดอกเบี้ยต่ำเพื่อบริหารความเสี่ยงค่าเงิน และเร่งเจรจาเปิดตลาดใหม่ เช่น จีน แอฟริกา และตะวันออกกลาง เพื่อทดแทนคำสั่งซื้อที่หายไป
นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอให้รัฐพยุงราคาข้าวเปลือกในช่วงฤดูผลผลิตนาปี เช่น การรับจำนำ การประกันราคา หรือช่วยค่าฝากเก็บเพื่อชะลอการขาย รวมถึงการเชื่อมโยงสต๊อกรัฐ-เอกชนเพื่อบริหารปริมาณข้าวไม่ให้ราคาตกต่ำ ควบคู่กับการสนับสนุนการทำตลาดข้าวพรีเมียมอย่างข้าวหอมมะลิและข้าวออร์แกนิก ใช้ Soft Power ข้าวไทยในต่างประเทศ ลดต้นทุนโลจิสติกส์ และเร่งรัดการอนุมัติใบรับรองคุณภาพ-สุขอนามัย (SPS) ให้ผู้ส่งออก
ด้านสมาคมยางพาราไทยได้เสนอแนวทางเพิ่มรายได้และรักษาเสถียรภาพราคายางพารา โดยประกาศราคาพยุงขั้นต่ำสำหรับเกษตรกร พร้อมสนับสนุนกองทุนช่วยเหลือระยะสั้น และเร่งเพิ่มการใช้ยางพาราในโครงการภาครัฐ เช่น ถนนลาดยางและสาธารณูปโภคเพื่อกระตุ้นความต้องการภายในประเทศ
ส่วนข้อเสนออื่น ๆ ได้แก่ การสนับสนุนเงินทุนและสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ผู้ประกอบการยางแปรรูป เช่น แผ่นยาง ถุงมือยาง และสินค้ายางอุตสาหกรรม การพัฒนานวัตกรรมยางคุณภาพสูงและยางสังเคราะห์ผสมผ่านศูนย์วิจัยและมหาวิทยาลัย ตลอดจนมาตรการส่งเสริมการส่งออกยางแปรรูป ลดภาษี ยกระดับมาตรฐาน และสนับสนุนการเข้าตลาดต่างประเทศ
พร้อมกันนี้ สมาคมยางพาราไทยยังเสนอการจัดตั้งตลาดกลางยางพาราออนไลน์เพื่อให้เกษตรกรขายตรงถึงผู้ซื้อ ลดตัวกลาง และปรับปรุงระบบข้อมูลราคายางแบบเรียลไทม์ให้ผู้ประกอบการวางแผนได้ชัดเจน ควบคู่กับการสนับสนุนการรวมกลุ่มเกษตรกรและสหกรณ์เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มอำนาจต่อรอง รวมถึงมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน เช่น การปลูกยางพาราแบบเกษตรผสมผสาน และการจัดระบบบำบัดน้ำเสียจากโรงงานแปรรูป
ทั้งนี้ สมาคมยางพาราไทยระบุว่าประเด็นเร่งด่วนซึ่งต้องดำเนินการภายใน 4-8 เดือน คือการประกาศราคาพยุงยางขั้นต่ำ จัดตั้งกองทุนช่วยเหลือเกษตรกรและผู้แปรรูปยางรายเล็ก เร่งนำยางพาราไปใช้ในโครงการภาครัฐ ออกมาตรการสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และจัดทำระบบตลาดกลางออนไลน์และข้อมูลราคายางแบบเรียลไทม์
ข้อเสนอทั้งหมดนี้สะท้อนเสียงของภาคเกษตรและผู้ส่งออกที่กำลังเผชิญแรงกดดันจากค่าเงินบาทแข็งค่า โดยต่างคาดหวังให้รัฐบาลใหม่เร่งดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อฟื้นขีดความสามารถการแข่งขันของข้าวและยางพารา ซึ่งเป็นสินค้าหลักของประเทศและเป็นรายได้สำคัญของเกษตรกรไทย
ที่มา https://www.thansettakij.com/economy/trade-agriculture/639134


















19/09/2025