“เมล็ดยาง” ขาดแคลนหนัก ดันราคาพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ จากราคา 3-5 บาท/กก. ปี 2568 ราคาพุ่งขึ้นไป 12-15 บาท/กก. ขณะที่ภาคใต้ฝนชุก-ลมแรง ดอกร่วง ไม่มีเมล็ดยางทำต้นกล้า ต้องบุกไปซื้อที่ภาคอีสาน ขณะที่ต้นกล้ายางราคาพุ่งตาม 60 บาท/ต้น จากเดิม 20-30 บาท/ต้น เผยมีนายทุนญี่ปุ่นสนใจเข้ามาตั้งโรงงานแปรรูปน้ำมันยางในประเทศไทย เพราะเมล็ดยางมีโปรตีนสูง น้ำมันปริมาณมาก
นายทวีศิลป์ ประทีป อุปนายกสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย (ยสท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ตลาดมีความต้องการเมล็ดยางเป็นอย่างมาก เพื่อนำไปเพาะพันธุ์เป็นต้นกล้ายาง และสามารถนำเข้าสู่โรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์น้ำมันหมึกพิมพ์ น้ำมันผสมสี น้ำมันสบู่ และสกัดสารไซยาไนด์ (Cyanide) ส่งผลให้ราคาเมล็ดยางจากราคาประมาณ 3 บาท/กก. ปัจจุบันบางพื้นที่ราคาปรับขึ้นไปประมาณ 10 บาท/กก. แม้ว่าเมล็ดยางจะมีราคาดี แต่กลับไม่มีเมล็ดยางในภาคใต้ตอนล่าง ต่างกับเมื่อหลายปีก่อนมีต้นยางพาราขนาดใหญ่มีเมล็ดปริมาณมากถึง 4 เท่าตัว
นายทศพล ขวัญรอด ประธานภาคีเครือข่ายชาวสวนยางพาราและปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย (คยปท.) เปิดเผยว่า เมื่อประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมา ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีความต้องการเมล็ดยางสูงมาก ส่งผลให้ราคาซื้อขายพุ่งสูงถึง 12-13 บาท/กก. จากที่ช่วงก่อนหน้านี้ราคาเมล็ดยางเคลื่อนไหวประมาณ 3-5 บาท/กก.
“ในอดีตปี 2517-2521 เมล็ดยางมีการขยายตัวเติบโตมาก สามารถทำเงินให้กับชาวสวนยางวันละ 200-300 บาท และต้นกล้ายางพาราขายดีจนถึงปี 2559-2560 หลังจากนั้นการซื้อขายเมล็ดยางเงียบ และแปลงต้นกล้ายางก็ได้เปลี่ยนมาเป็นแปลงต้นกล้าพืชการเกษตรตัวอื่น กระแสเมล็ดยางจึงเงียบหายไประยะหนึ่ง การรับซื้อเมล็ดยางจะทำกันในวงแคบและจำกัด จนมาถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นมา” นายทศพลกล่าว
เจ้าของสวนยาง อ.บางแก้ว จ.พัทลุง เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ตลาดมีความต้องการเมล็ดยางมาก เนื่องจากสามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ และทำต้นกล้าพันธุ์ยางเพื่อนำไปปลูก แต่เมล็ดยางกลับมีปริมาณไม่มากและแทบจะไม่มีในฤดูนี้ สาเหตุเพราะว่ามีฝนตกชุก ลมพัดแรง โดยเฉพาะในเดือนเมษายน 2568 เป็นช่วงดอกยางผลิออก ฝนตกชุกและลมพัดแรง ทำให้ดอกร่วง จึงไม่มีเมล็ดยาง โดยปกติในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม เมล็ดยางจะแตกร่วงหล่นสามารถเก็บได้ อีกทั้งต้นยางที่มีอยู่ในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ RRIM 600 กับ RRIT 251 ซึ่งจะให้เมล็ดปริมาณที่น้อยมาก หากต้องการเมล็ดยางจะต้องส่งเสริมใส่ปุ๋ยบำรุง เช่น 15-15-15 เป็นต้น
แหล่งข่าวจากวงการยาง เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา กยท.ส่งเสริมสงเคราะห์การปลูกยางทดแทนจำนวน 400,000 ไร่ และได้ลดการปลูกลงเหลือประมาณ 200,000 ไร่/ปี เนื่องจาก กยท.มีงบประมาณจำกัด โดยที่สามารถส่งเสริมสงเคราะห์ปลูกทดแทนได้จำนวน 200,000 ไร่ แต่จะปลูกยางจำนวน 100,000 ไร่ และปลูกพืชเกษตรอื่น 100,000 ไร่/ปี จึงส่งผลให้ต้นกล้ายางที่จะนำไปปลูกมีปริมาณลดลง ได้ส่งผลให้เมล็ดยางมีความต้องการลดลงตามด้วย
แหล่งข่าวกล่าวต่อไปว่า ยางที่ครบอายุขอทุนสงเคราะห์โค่นยางปลูกทดแทนจาก กยท.ประมาณ 350,000 ไร่/ปี แต่ที่ปลูกได้ตามงบประมาณจำกัด ประมาณ 200,000 ไร่ ยาง 100,000 ไร่ พืชอื่น ๆ 100,000 ไร่ ในส่วนของยางจึงยังคงค้าง ต่อมาในปีงบประมาณได้งบประมาณ 2,700 ล้านบาท จึงมีการปลูกประมาณ 270,000 ไร่ ต้นยางปริมาณมากจำนวน 21.6 ล้านต้น ซึ่งจะต้องใช้ต้นกล้ายางกว่า 21.6 ล้านต้น จึงทำให้เมล็ดยางที่ต้องนำมาเพาะพันธุ์ต้นกล้ายาง ได้มีความต้องการมาก
“จึงส่งผลให้เมล็ดยางราคาได้ปรับตัวสูงขึ้นจากเมื่อปี 2567 ราคาอยู่ที่ 7 บาท/กก. และมาในปี 2568 ราคาได้ปรับตัวมาที่ 15 บาท/กก. จากหลาย ๆ ปีราคาเคลื่อนไหวที่ 2-3 บาท และไม่เกิน 5 บาท/กก. โดยปรับขึ้น 100% ราคาเมล็ดยางราคาสูงเป็นประวัติการณ์ที่มีมา และต้นกล้ายางก็ปรับตัวเป็น 60 บาท/ต้น จากราคา 20-30 บาท/ต้น แต่เมล็ดยางเมื่อมาถึงจุดเป้าหมายก็จะทยอยลง”
แหล่งข่าวกล่าวต่อไปว่า เมล็ดยางเฉพาะภาคใต้ฝั่งอ่าวไทยแทบจะไม่มีผลผลิต เนื่องจากฝนตกชุก จึงต้องสั่งเมล็ดยางจากภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคตะวันออก ภาคใต้ฝั่งอันดามัน และภาคใต้ตอนบนมาทดแทน
นอกจากนี้ มีข่าวว่ามีบริษัทในประเทศญี่ปุ่นกำลังดำเนินการนำเมล็ดยางไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่องบิน อาหารสัตว์ ฯลฯ เนื่องจากเมล็ดยางมีโปรตีนและน้ำมันสูงมาก และมีแนวโน้มว่าจะเข้ามาตั้งโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปเมล็ดยางเป็นผลิตภัณฑ์ในประเทศไทยด้วย อย่างไรก็ตาม มีข่าวว่านักลงทุนจากต่างประเทศสนใจเข้าไปลงทุนเช่าพื้นที่ปลูกยางอย่างแปลงใหญ่ใน สปป.ลาวอีกด้วย
ที่มา https://www.prachachat.net/local-economy/news-1874513