คยปท.ยื่นหนังสือถึงรักษาการนายกฯ-รมว.เกษตรฯ. “ระงับการนำเข้าสินค้าเกษตร” เหตุทำราคาสินค้าตกต่ำ เกษตรกรไทยกระเทือนหนัก
นายทศพล ขวัญรอด ประธานภาคีเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยางพารา สวนปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย (คยปท.) เปิดเผยว่าสัปดาห์นี้ทาง คยปท.จะยื่นหนังสือถึงนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรี นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เรื่องการแก้ปัญหาเรื่องราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ โดยภาคีเครือข่ายฯ มีมติร่วมกันว่า ที่ผ่านมารัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะราคาผลผลิตทางการเกษตรที่ตกต่ำรุนแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เนื่องจากรัฐบาลได้อนุญาตให้มีการนำเข้าผลผลิตทางการเกษตรจากประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้มีผลกระทบต่อเกษตรกรไทยอย่างกว้างขวาง เป็นการทำลายกลไกการตลาด ทำให้ผลผลิตถูกกดราคา จึงขอให้ทางรัฐบาลพิจารณาสั่งการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 1.ยกเลิกการนำเข้าผลผลิตทางการเกษตรทุกชนิดทันที 2.เร่งพิจารณาและแก้ปัญหาราคายางพารา ปาล์มน้ำมัน และผลผลิตทางการเกษตรทุกชนิดอย่างเร่งด่วน 3.ควบคุมดูแลและระงับยับยั้ง การลักลอบนำเข้าผลผลิตทางการเกษตรทุกช่องทางอย่างเข้มงวด
ขณะเดียวกันจะยื่นหนังสือถึง นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่องขอให้บังคับใช้พระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. 2542 เพื่อรักษาเสถียรภาพราคา โดยที่ประชุม คยปท.ตระหนักถึงปัญหาวิกฤตราคายางพาราที่ตกต่ำกว่าต้นทุนการผลิต รวมถึงปัจจัยภายนอกและภายในประเทศที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเกษตรกรชาวสวนยางพาราในปัจจุบัน
ทั้งมาตรการภาษีตอบโต้จากสหรัฐในอัตราที่สูงถึง 36% ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออก, การแข่งขันจากยางสังเคราะห์ที่พัฒนาคุณภาพจนใช้ทดแทนยางธรรมชาติได้, ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทำให้ผู้ซื้อยางจากต่างประเทศต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้น และความแตกต่างของเงิน Cess ที่ประเทศไทยจัดเก็บในอัตรา 2 บาทต่อ กก. ขณะที่มาเลเซียจัดเก็บ 1.40 บาทต่อ กก. และประเทศผู้ผลิตส่วนใหญ่ทั่วโลกไม่มีการจัดเก็บ ทำให้ราคายางของไทยสูงกว่าคู่แข่ง ผู้ซื้อจึงหันไปนำเข้ายางจากประเทศอื่นที่มีราคาถูกกว่า สถานการณ์เหล่านี้ทำให้เกษตรกรชาวสวนยางพาราจำนวนมากตัดสินใจโค่นต้นยาง เพื่อปลูกพืชอื่นทดแทน เช่น ปาล์มน้ำมัน และทุเรียน
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา พ.ร.บ.ควบคุมยาง พ.ศ. 2542 มาตรา 5 กำหนดให้รัฐมนตรีมีอำนาจในการรักษาการและดำเนินกิจการต่าง ๆ และมาตรา 11 กำหนดให้มีคณะกรรมการควบคุมยางรวม 19 คน ซึ่งมีความสำคัญในการขับเคลื่อนยางให้มีเสถียรภาพ แต่การแต่งตั้งและการประชุมคณะกรรมการชุดนี้ ยังไม่ได้รับการให้ความสำคัญเท่าที่ควร ซึ่งทำให้การแก้ไขปัญหาไม่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น จึงขอให้กระทรวงเกษตรฯ แต่งตั้งคณะกรรมการควบคุมยางชุดใหม่ และเรียกประชุมคณะกรรมการอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 2 เดือนต่อครั้ง โดยเฉพาะช่วงที่ราคายางมีปัญหา เพื่อให้คณะกรรมการสามารถทำหน้าที่กำหนดแนวทางและมาตรการแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ
“ตอนนี้ผลผลิตทางการเกษตร เช่น ปาล์มน้ำมัน ยางพารา ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง ผลไม้ ราคาตกต่ำ และในเร็ว ๆ นี้ มีแนวโน้มปาล์มน้ำมันจะเกิดการขาดคอ (ไม่มีผลผลิต) และมั่นใจว่าจะต้องมีการนำเข้าอีก ขณะที่ปาล์มน้ำมันไทยกำลังปรับราคากว่า 6 บาท/กก. และมันสำปะหลังมีการนำเข้าจำนวนมาก ทำให้ราคาตกต่ำเหลือ 0.90 บาท/กก. มีการนำเข้าน้ำยางข้นที่ราคาต่ำกว่าน้ำยางข้นของไทยถึง 7 บาท/กก. ส่วนปาล์มน้ำมันก็เช่นกัน โดยเฉพาะประเภทน้ำมันพืชสำเร็จรูปที่ถูกกว่าน้ำมันพืชสำเร็จรูปของไทยเกือบ 20 บาท/กก.”
ที่มา https://www.prachachat.net/local-economy/news-1855396