อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ถือเป็นหนึ่งในจุดแข็งสำคัญของประเทศที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก ทั้งในฐานะผู้ผลิตและผู้ส่งออกรายใหญ่ โดยไทยมีความโดดเด่นและข้อได้เปรียบจากการมีอุตสาหกรรมต้น-กลางน้ำที่เข้มแข็ง ไม่ว่าจะเป็นยางพารา พลาสติก โลหะแปรรูป รวมถึงชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ขั้นกลาง
ดังนั้น ด้วยโครงสร้างเหล่านี้ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์จึงเติบโตและมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทั้งในแง่ของการกระจายรายได้ไปยังภาคธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งมีจำนวนกว่า 3 หมื่นแห่งทั่วประเทศ การจ้างแรงงานกว่า 5.61 แสนคน รวมถึงยังเป็นแม่เหล็กสำคัญในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติที่ต้องการต่อยอดการผลิตสู่อุตสาหกรรมแห่งโลกอนาคต ไม่ว่าจะเป็นยานยนต์ไฟฟ้า อากาศยาน หุ่นยนต์ และระบบอัตโนมัติ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ภายใต้สภาวการณ์ปัจจุบัน อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ไทยกลับกำลังเผชิญความท้าทายจากรอบด้าน ทั้งนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐ ความซบเซาของตลาดยานยนต์ในประเทศ รวมถึงการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี โดยหากภาคธุรกิจไม่สามารถเร่งปรับตัวได้อย่างเท่าทัน เครื่องจักรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยชิ้นนี้อาจอ่อนแรงลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ขีดความสามารถทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ไทยมีแนวโน้มเปราะบางลง หากสหรั{คงภาษีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนในอัตรา 25% อย่างถาวร (ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2025 เป็นต้นมา) มาตรการดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ของไทย
โดยเฉพาะกลุ่มที่พึ่งพาตลาดสหรัฐในระดับสูง ได้แก่ กระปุกเกียร์ เพลาขับล้อ พวงมาลัย และระบบเบรก ซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐเฉลี่ยมากกว่า 15% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดระหว่างปี 2019-2024
ทั้งนี้ ในขณะที่อุตสาหกรรมของไทยต้องเผชิญต้นทุนการค้าที่สูงขึ้น ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์จากเม็กซิโกกลับมีข้อได้เปรียบจากสิทธิยกเว้นภาษีนำเข้าภายใต้ความตกลง USMCA ประกอบกับศักยภาพการค้าและการแข่งขันของเม็กซิโกก็เหนือกว่าไทยในหลายกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์สำคัญ (ประเมินจากดัชนี RCA เฉลี่ยในช่วงปี 2019-2024) ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่าไทยอาจจะสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐให้กับเม็กซิโกได้มากขึ้นในระยะถัดไป
อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมยางล้อถือเป็นหนึ่งในชิ้นส่วนยานยนต์เพียงไม่กี่ประเภทที่คาดว่าจะยังสามารถรักษาความแข็งแกร่งในตลาดโลกได้ เนื่องจากไทยมีจุดแข็งด้านศักยภาพการผลิต เพราะเป็นเจ้าของแหล่งวัตถุดิบหลักอย่างยางธรรมชาติ จึงคาดว่าสหรัฐจะยังคงพึ่งพาการนำเข้ายางล้อจากไทย
แต่ประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดคือ การบังคับใช้มาตรการตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้า (Rule of Origin) ที่เข้มงวดมากขึ้น และอาจส่งผลให้กระบวนการส่งออกไปสหรัฐยุ่งยากและมีต้นทุนแฝงเพิ่มสูงขึ้นได้เช่นกัน
มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ายานยนต์ (Auto Tariff) นอกจากจะมีส่วนทำให้การส่งออกไปยังสหรัฐชะลอตัวลงแล้ว ยังมีแนวโน้มทำให้คำสั่งซื้อจากประเทศผู้ผลิตยานยนต์สำคัญ โดยเฉพาะญี่ปุ่นปรับลดลง ตามไปด้วย เนื่องจากญี่ปุ่นถือเป็นหนึ่งในประเทศที่พึ่งพาการนำเข้าชิ้นส่วนจากไทย เพื่อนำไปประกอบและส่งออกรถยนต์ไปยังตลาดสหรัฐ โดยสินค้าสำคัญที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานนี้ ได้แก่ คลัตช์ ระบบเบรก เข็มขัด และถุงลมนิรภัย
ไม่เพียงเท่านี้ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยและประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคอาเซียนอาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากทิศทางการลงทุนที่ชะลอตัวลง เพราะผู้ประกอบการบางส่วนก็หันไปสนใจ หรือมีแผนย้ายฐานการผลิตไปยังภูมิภาคอเมริกา เพื่อใช้สิทธิประโยชน์จากการยกเว้นภาษีนำเข้า และลดความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าที่อาจทวีความรุนแรงขึ้นอีกในอนาคต
ธุรกิจชิ้นส่วนทดแทนหรืออะไหล่ยนต์ (REM) กำลังกลายเป็นแรงประคับประคองสำคัญท่ามกลางภาวtการค้าโลกที่ผันผวน และตลาดยานยนต์ในประเทศที่ซบเซา เนื่องจากความต้องการชิ้นส่วนสำหรับการผลิตรถใหม่ (OEM) มีแนวโน้มชะลอตัวตามกำลังซื้อของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ สวนทางกับอุปสงค์ด้านการซ่อมบำรุงที่ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง
สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้งานรถยนต์ที่ยาวนานขึ้นทั่วโลก เช่น อายุเฉลี่ยของรถยนต์นั่งในสหรัฐและยุโรป เพิ่มจาก 11 ปี ณ ปี 2018 เป็น 14 ปีในปี 2024 เช่นเดียวกับไทยและออสเตรเลียที่ก็มีอัตราการเปลี่ยนรถช้าลงเป็น 11 ปี (เพิ่มขึ้นจาก 9 ปี ณ ปี 2018)
จากบริบทนี้ ธุรกิจ REM จึงทวีความสำคัญและควรได้รับการส่งเสริมมากขึ้น ทั้งในมิติของการสร้างและยกระดับแบรนด์ไทยให้เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับในระดับสากล รวมไปถึงการขยายตลาดส่งออกไปยังภูมิภาคใหม่ ๆ พร้อมกับการพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์เฉพาะกลุ่ม เช่น ตลาดตะวันออกกลางเน้นชิ้นส่วนที่ทนความร้อนสูง สีไม่ซีดจางง่าย หรือตลาดยุโรปที่ต้องมุ่งพัฒนาอะไหล่ที่ตอบโจทย์เทรนด์ความยั่งยืน เช่น การใช้วัสดุรีไซเคิล หรืออะไหล่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (xEV) เป็นต้น
การยกระดับห่วงโซ่อุปทานยานยนต์ไทยให้รองรับอุตสาหกรรม xEV อย่างครบวงจร เป็นกุญแจสำคัญในการเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขัน และรักษาความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ไทยในระยะยาว
ที่ผ่านมา อุตสาหกรรมยานยนต์สันดาปของไทยมีระบบนิเวศการผลิตที่แข็งแรง และสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มภายในประเทศได้สูง โดยเฉพาะกลุ่มรถกระบะและ Eco-Car ที่มีสัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ (Local Content) สูงกว่า 80% ของมูลค่าทั้งหมดในสายการผลิต
อย่างไรก็ตาม เมื่อแนวโน้มของตลาดโลกกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า การพัฒนาระบบนิเวศ EV ให้ครอบคลุมในทุกมิติจึงเป็นสิ่งที่ควรได้รับการผลักดันอย่างต่อเนื่อง
อนึ่ง สัดส่วน Local Content ในสายการผลิตรถ HEV และ BEV ของไทย ณ ปัจจุบัน อยู่ที่ประมาณ 60% และ 40% ตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่ายานยนต์สันดาปอย่างมีนัย และยังมีช่องว่างให้พัฒนาเพิ่มเติมได้อีกมาก โดยชิ้นส่วนที่ยังต้องพึ่งพาการนำเข้าเป็นหลักล้วนต้องอาศัยเทคโนโลยีอันซับซ้อน อาทิ แบตเตอรี่ความจุสูง ระบบแปลงไฟ และควบคุมพลังงาน ระบบสื่อสารและควบคุมในรถ เป็นต้น
ดังนั้น นโยบายส่งเสริมการลงทุนจากผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกจึงควรได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจัง ควบคู่ไปกับการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา เพื่อยกระดับองค์ความรู้ เทคโนโลยี และทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรม EV
ขณะเดียวกัน การเร่งเจรจาข้อตกลงทางการค้าระหว่างไทยและสหรัฐให้ได้ข้อสรุปโดยเร็ว จะมีส่วนช่วยบรรเทาแรงกดดันให้กับอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ไทยได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยข้อเสนอเชิงนโยบายควรครอบคลุมการจัดทำความตกลงการค้าเสรีแบบเฉพาะเจาะจงสินค้า รวมถึงการขอสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรสำหรับชิ้นส่วนยานยนต์และยางล้อ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทยในตลาดสหรัฐ และรักษาส่วนแบ่งตลาดได้ในระยะยาว
การผลักดันธุรกิจอะไหล่ทดแทน (REM) ควบคู่ไปกับการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานยานยนต์ไฟฟ้า (xEV) อย่างครบวงจรภายในประเทศ ไม่เพียงเป็นการสร้างโอกาสใหม่ในตลาดส่งออก แต่ยังมีส่วนสำคัญในการรักษาสถานะของไทยในฐานะศูนย์กลางการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนระดับโลกได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและเศรษฐกิจโลกในยุคเปลี่ยนผ่าน
ที่มา https://www.prachachat.net/columns/news-1825439