ชะลอเปิดกรีดยางสู้ภาษีทรัมป์ ดึงราคา 70 บาทช่วยชาวสวน


ภาษีตอบโต้ “ทรัมป์” พ่นพิษ ทำตลาดยางโลกปั่นป่วน ผลกระทบถึงตลาดกลางยางไทย ต้นเดือน เม.ย. ราคาร่วงวันเดียว 10 บาท/กก. ด้านการยางไทย (กยท.) เต้น งัดมาตรการชะลอเปิดกรีดยางออกไปอีก 1 เดือน หวังดึง Supply ยางออกจากตลาด 200,000 ตัน พยุงราคายางไว้ไม่ให้ต่ำกว่า 70 บาท ขณะที่กลุ่มยาง ส.อ.ท.เชื่อจะมีชาวสวนชะลอเปิดกรีดแค่ 20% เหตุหยุดกรีดมาแล้ว 3 เดือนไม่มีรายได้
ผลิตภัณฑ์ยางที่ส่งออกจากประเทศไทยกำลังเผชิญกับผลกระทบจากการขึ้นภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐ โดยจะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า 36% ในอีก 90 วันข้างหน้า ส่งผลเชิงจิตวิทยาต่อวัตถุดิบสำคัญ โดยเฉพาะราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 ณ ตลาดกลางยางพาราสงขลาในระหว่างวันที่ 8-9 เม.ย. 2568 ได้หล่นลงมาทันทีถึง กก.ละ 10 บาท หรือจากราคา 70 บาท/กก. ในวันที่ 4 เม.ย. ลดลงเหลือ 60 บาท/กก.
ขณะที่ราคา FOB อยู่ที่ 68 เหรียญ หรือจากราคา 78 เหรียญ ในวันที่ 4 เม.ย. เช่นกัน ส่วนราคาน้ำยางสดก็ยังเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 55-58 บาท/กก. ประกอบกับช่วงที่ผ่านมาเป็นช่วงหยุดกรีดยางและเตรียมที่จะเข้าสู่ฤดูการกรีดในเดือนนี้ ส่งผลให้เกษตรกรชาวสวนยางวิตกกังวลว่าราคายางจะตกต่ำลงเหมือนต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาอีกหรือไม่
ดึง Supply ยางออก 2 แสนตัน
การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ได้ออกมาตรการขอความร่วมมือให้ “ชะลอ” การเปิดกรีดยางออกไปอีก 1 เดือน เพื่อรักษาเสถียรภาพของราคายางภายในประเทศ โดย กยท.เชื่อว่าการเลื่อนเปิดกรีดยางจากเดิมที่จะเปิดกรีดในเดือนพฤษภาคม ให้ไปเปิดกรีดในเดือนมิถุนายน 2568 จะทำให้ผลผลิตยางออกสู่ตลาดลดลงไม่น้อยกว่า 200,000 ตัน
หากคำนวณราคาเป็นยางแผ่นรมควันชั้น 3 ที่ซื้อขายกันในตลาดกลาง ณ ราคา 72.04 บาท (ราคาตลาดกลาง ณ วันที่ 3 เมษายน) จะคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 14,400 ล้านบาท โดยมาตรการนี้ถือเป็นการลดอุปทานที่เพื่อสร้างแรงกดดันต่อสมดุลตลาดยางในประเทศ
“การชะลอเปิดกรีด 1 เดือน ไม่ได้เป็นมาตรการโต้ตอบ แต่เป็นการปกป้องตัวเอง เพื่อให้เกิดเสถียรภาพในระบบยางพาราอย่างยั่งยืน โดยจะทำให้ภาพรวมของยางพาราทั้งระบบไม่เกิดความเสียหาย เนื่องจากปริมาณความต้องการใช้ยางทั่วโลกมีมากกว่าปริมาณผลผลิตยางประมาณ 2% และมั่นใจว่าหากเก็บเกี่ยวผลผลิตยางในเดือนหน้า (มิถุนายน) จะทำให้เกษตรกรได้รับราคายางที่สูงกว่าระดับราคาในช่วงเดือนนี้อย่างแน่นอน” ดร.เพิก เลิศวังพง ประธาน กยท.กล่าว
โดยในช่วงชะลอการกรีดยางออกไปอีก 1 เดือนนั้น กยท.จะออกมาตรการช่วยเหลือสถาบันเกษตรกร ด้วยการดำเนินโครงการสินเชื่อระยะสั้นสำหรับสถาบันเกษตรกร เพื่อจัดหาปัจจัยการผลิตในการเพิ่มผลผลิต และลดต้นทุนการผลิตยางพารา (ปุ๋ย) อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 เป็นระยะเวลา 4 เดือน โดยใช้เงินจากกองทุนพัฒนายางพารา มาตรา 49 (3) สถาบันละ 1 สัญญา วงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท/1 สัญญา ส่วนมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบกิจการยางที่รับซื้อยางจะประกอบไปด้วย
1) ให้ผู้ประกอบกิจการยางรับซื้อผลผลิตยางพาราทุกประเภทจากสถาบันเกษตรกร ในราคา “ไม่ต่ำกว่า” ประกาศราคายางของ กยท. ณ วันที่ 2 เม.ย 2568 
2) การช่วยเหลือผู้ประกอบกิจการยางที่รับซื้อยางด้วยการ “ชดเชย” อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 
3) การวางแผนซื้อโรงงานผลิตยางล้อ เพื่อรองรับผลผลิตยางของเกษตรกรมาแปรรูปเพื่อดึง Supply ออกจากตลาด
4) เร่งรัดให้รัฐบาลอนุมัติการขยายระยะเวลา โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกร เพื่อรวบรวมยาง วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท และ 
5) ให้ กยท.ดำเนินโครงการชะลอการขายยางเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางอย่างต่อเนื่องต่อไป
อนึ่ง มีข้อน่าสังเกตว่า มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบกิจการยางนั้น “ไม่ใช่มาตรการใหม่” เนื่องจาก ครม.ได้มีมติในวันที่ 11 มีนาคม 2568 เห็นชอบให้ขยาย 1) โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางและโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชน ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2568 และขยายโครงการมูลภัณฑ์กันชนให้ ธ.ก.ส. ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 68 เช่นกัน โดยชดเชยต้นทุนเงินอัตรา FDR+1
2) โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินกองทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยาง วงเงิน 10,000 ล้านบาท ออกไปอีก 4 ปี ถึง 31 ธ.ค. 2571 และ 3) โครงการสนับสนุนสินเชื่อสถาบันเกษตรกรแปรรูปยางพาราภายใต้แนวทางพัฒนายางพาราทั้งระบบ วงเงินสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท ออกไปอีก 10 ปี ถึง 31 ธ.ค. 2577
1 เดือนยางราคาตกไป 5%
นายนวพงษ์ สรโชติ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยาง สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า หากภาครัฐขอความร่วมมือก็เป็นไปได้ที่ชาวสวนยางบางส่วนที่จะให้ความร่วมมือ แต่ก็คงจะมีอีกไม่น้อยที่ไม่ได้ให้ความร่วมมือ เพราะชาวสวนหรือผู้รับจ้างกรีดยาง จะมีการหารายได้เป็นรายวัน หากต้องหยุดประกอบอาชีพไปถึง 1 เดือน ก็จะมีผลให้ขาดรายได้ติดต่อกันถึง 2 เดือน
“ผมประเมินว่า ชาวสวนยางน่าจะให้ความร่วมมือเพียง 15-20% ของทั้งหมด ดังนั้นจึงเชื่อว่ามาตรการนี้ไม่น่าจะมีผลต่อ Supply ยางพารา”
“ในมุมของเอกชนที่ต้องการวัตถุดิบยางพาราเพื่อนำไปผลิตสินค้าหรือกลุ่มยางปลายน้ำ รวมถึงกลุ่มยางกลางน้ำ เช่น โรงงานยางแท่ง น่าจะได้รับผลกระทบไม่มากจากการชะลอกรีด เพราะโรงงานส่วนใหญ่ได้วางแผนรองรับการหยุดกรีดยางในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาไว้แล้ว มีการสต๊อกยางเอาไว้ล่วงหน้า ประกอบกับความต้องการยางพารายังคงที่ ไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในส่วนของการส่งออกยางไปต่างประเทศก็ไม่ได้มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น จึงไม่น่ากังวลว่ายางพาราจะขาดตลาด” นายนวพงษ์กล่าว
สำหรับราคายางในปัจจุบัน โดยคิดจากราคายางแผ่นดิบรมควันชั้น 3 ที่จังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 มีราคาอยู่ที่ 70.15 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อเทียบกับช่วง 1 เดือนก่อนหน้า คือวันที่ 24 มีนาคม 2568 อยู่ที่ 73.89 บาทต่อกิโลกรัม หมายถึงราคายางแผ่นลดลงไปถึง 5%
จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ภาครัฐขอความร่วมมือเกษตรกรชะลอการกรีดยางออกไปอีก 1 เดือน เพื่อลดปริมาณผลผลิตที่เข้าสู่ตลาด อย่างไรก็ตาม ราคายางในปัจจุบันถือว่าสูงมากพอแล้ว เพราะหากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน มีราคาเฉลี่ยพอ ๆ กับปีนี้ คือที่ประมาณ 70-77 บาท/กก.
และหากย้อนไปในปี 2566 จะพบว่าราคายางแผ่นดิบรมควันชั้น 3 ที่สงขลา มีราคาเพียง 50 กว่าบาท/กก.เท่านั้น ซึ่งช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ถือได้ว่าราคายางมีการปรับตัวสูงขึ้นถึงกว่า 40% ขณะที่ผู้ประกอบการโรงงานต่าง ๆ ยังคงแบกรับต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นไปก่อน หรือขอปรับราคาสินค้าได้เพียง 5-8% เท่านั้น
ส่วนผลกระทบจากกรณีการขึ้นภาษีตอบโต้ของสหรัฐนั้น “กลุ่มอุตสาหกรรมยางจะได้รับผลกระทบมาก” เพราะ ในแต่ละปีไทยมีการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางไปสหรัฐเฉลี่ยปีละ 4,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเป็นอันดับ 3 ของสินค้าทั้งหมดที่ส่งออกไปสหรัฐ
ซึ่งหากไทยโดนอัตราภาษีนำเข้าตอบโต้ทางการค้าที่ 36% จากเดิมเสียภาษีที่ 2.5% และยังไม่รวมในบางรายสินค้าที่มี AD Tax อีก 10-20% ดังนั้น ผลกระทบที่ได้รับจะแตกต่างกันในแต่ละสินค้า เช่น ถุงมือยาง จะกระทบตัวเลขการส่งออกถึง 50% หรือหายไปกว่าครึ่งของการผลิตทั้งหมด เพราะไม่ใช่ประเทศไทยเท่านั้นที่ส่งสินค้าดังกล่าวไปสหรัฐ
แต่ยังมีประเทศอื่นที่เป็นคู่แข่งผลิตสินค้าเหมือนไทย เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย อินเดีย หากประเทศคู่แข่งเหล่านี้ส่งสินค้าเข้าไปขายสหรัฐไม่ได้เช่นกัน ก็จะทำให้เกิดการแข่งขันแย่งกันขายตลาดอื่น ๆ เช่น ยุโรป ที่ประเทศไทยมีการส่งออกอยู่
แนะใช้ พ.ร.บ.ควบคุมยาง
ดร.อุทัย สอนหลักทรัพย์ นายกสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การชะลอกรีดยางถือเป็นมาตรการที่ดี แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา มาเลเซียเคยใช้มาตรการนี้โดยรัฐบาลมีเงินชดเชยให้เกษตรกรรายย่อย แต่ผลสรุปออกมาไม่ใด้ผลเท่าที่ควร เพราะไม่ได้ทำให้ Supply ลดลง และราคายางขึ้นแต่อย่างใด เนื่องจากมียางจากประเทศอื่นและยางสังเคราะห์เข้ามาชดเชยตลาดทันที
ดังนั้น สมาคมจึงขอเสนอ ให้นำ พ.ร.บ.ควบคุมยาง พ.ศ. 2542 มาใช้อย่างเข้มข้น และแต่งตั้งคณะทำงานติดตามประเมินผลเพราะการใช้ พ.ร.บ.ควบคุมยางด้วย โดยสิ่งที่จะต้องทำเป็นอันดับแรกก็คือ ทุกวันที่ 10 ของทุกเดือน ผู้ส่งออกยางจะต้องรายงานว่า ขายยางไปวันไหน ราคาขายล่วงหน้า ระยะกี่เดือน และยางในสต๊อกเหลือเท่าไร
ขณะที่กระทรวงเกษตรฯจะต้องขอตัวเลขผู้ขายยางว่า ทำ Packing Credit ไว้กับธนาคารพาณิชย์ไหน มีตัวเลขอยู่ธนาคารชาติ เพราะผู้ส่งออกทุกรายจะนำ LC มาทำ Packing Cradit เพราะคิดดอกเบี้ยต่ำมาก ถ้ารัฐบาลเข้มข้นกับกฎเกณฑ์ของ พ.ร.บ.ควบคุมยางอย่างเต็มที่ ตรงไปตรงมา ราคายางจะขึ้นทันที
ส่วนราคายางแผ่นดิบรมควันชั้น 3 ช่วงวันที่ 4 เม.ย. ราคาอยู่ที่ 71.71 บาท/กก. แต่พอมาถึงวันที่ 8 เม.ย. ราคาปรับลดลงมาเฉลี่ย 10-12 บาท/กก. เหลือแค่ 60 บาทนั้น เกิดจากการกังวลเรื่องนโยบายการค้าของสหรัฐ ทำให้ตลาดซื้อขายล่วงหน้าต่างประเทศมีการเทขาย ส่งผลให้สินค้ายางพาราในประเทศมีการปรับลดราคารับซื้อทันที
ตั้งเป้ายางแผ่น 70-75 บาท
นายเรืองยศ เพ็งสกุล ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนคนกรีดยางและชาวสวนยางรายย่อยถ้ำพรรณรา (วคยถ.) ประธานกลุ่มเกษตรกรแปรรูปยางพาราถ้ำพรรณรา เครือข่ายกว่า 200 กลุ่ม กล่าวว่า การชะลอกรีดยางออกไป 1 เดือน โดยไปกรีดเดือนมิถุนายน 2568 เพื่อให้ยางหายจากตลาด 200,000 ตัน
ในหลักการดีหากนำมาใช้ในสถานการณ์ที่เหมาะสม เช่น ยางราคาตกหล่นลงมาก ๆ เหมือนในอดีต 3 กก. ราคา 100 บาท แต่ในปัจจุบันราคายางน้ำยางสดราคากว่า 50 บาท/กก. ยังถือว่า “พอไปได้” และภาวะยางในปัจจุบันกำลังการผลิตปริมาณที่น้อยมากที่ออกสู่ตลาด
โดยในกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเครือข่ายประมาณ 200 โรง มียางออกภาพรวมประมาณ 30 % เท่านั้น จาก 1) บางส่วนยังไม่เปิดหน้ากรีด 2) บางส่วนที่เปิดหน้ากรีดแล้วเกิดฝนตกวันเว้นวันได้กรีดและต้องหยุดกรีด และ 3) ประการสำคัญน้ำยางหดหายไปมาก บางรายเคยกรีดได้ 100 กก./วัน ปัจจุบันน้ำยางหดตัวเหลือ 30 กก.
ราคายางไทยราคาสูงกว่ายางโลก
มีรายงานข่าวจากผู้ส่งออกยางเข้ามาว่า ตลาดกลางซื้อขายยางไทยตอนนี้ราคา “สูงกว่า” ยางตลาดโลก โดยราคายางแท่ง STR ประมาณ 2,003 เหรียญ/ตัน ยางรมควันกว่า 2,000 เหรียญ/ตัน ขณะที่ตลาดโลกซื้อขายล่วงหน้าโดยเฉพาะตลาดสิงคโปร์ โดยยางแท่ง STR ราคาประมาณ 1,600-1,700 เหรียญสหรัฐ และยางรมควันประมาณ 2,000 เหรียญ/ตัน (วันที่ 30 เมษายน 2568)
“ราคา FOB กรุงเทพฯ 2,000 เหรียญ/ตัน ราคาสูงกว่าตลาดโลกเกือบ 10 บาท/กก. เพราะมีการเสนอราคาประมูลในตลาดกลางการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) อยู่ที่ประมาณ 70 บาท/กก. ในขณะที่ราคาตลาดต่างประเทศ 66 บาท/กก. ผู้ประกอบการเมื่อประมูลซื้อยางแล้วจึงกังวลว่า ไปเสนอขายจะมีผู้ซื้อหรือไม่”
อย่างไรก็ตาม ยางปัจจุบันมีปริมาณน้อยมาก โดยจะพบว่าตลาดกลางประมูลการซื้อขายตลาดกลาง กยท. จ.สงขลา จ.สุราษฎร์ธานี และ จ.นครศรีธรรมราช บางตลาดมีปริมาณการซื้อขายแค่ประมาณ 10,000 กก. และ 20,000 กก./วัน ภาพรวมประมาณ 30,000 กก./วันเท่านั้น ส่งผลต่อโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปยาง ที่ไม่สามารถดำเนินการผลิตเต็มกำลังการผลิตได้ ตอนนี้แม้กระทั่งโรงงานแปรรูปยางรายใหญ่ในประเทศมาเลเซียก็ได้หันไปออร์เดอร์ยางจากในกลุ่มประเทศแอฟริกาก็มีการปลูกยางมาก
ส่วนการขอความร่วมมือในการชะลอเปิดกรีดยางออกไปอีก 1 เดือน ในมุมกลับกัน ถ้าชาวสวนยางให้ความร่วมมือเต็มที่ก็เท่ากับ 1 เดือนรายได้ของชาวสวนจะหายไป 14,400 ล้านบาท สิ่งที่กังวลกันก็คือ เมื่อเริ่มเปิดกรีดในเดือนมิถุนายนเป็นเดือนแรก ต่อจากนั้นยางก็จะทะลักออกสู่ตลาด ตอนนั้นใครจะรับประกันได้ว่า ราคายางจะไม่ตกลงอีก
ที่มา https://www.prachachat.net/economy/news-1804412


















03/05/2025