อย่างไรก็ตาม การขอรับส่งเสริมตามมาตรการยกระดับอุตสาหกรรม (Smart and Sustainable Industry) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งมาตรการสำคัญที่ช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการรายเดิมให้สามารถปรับตัวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ในปี 2567 มีคำขอรับการส่งเสริมจำนวน 407 โครงการ เงินลงทุนรวม 35,560 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 30 ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนด้านการประหยัดพลังงาน และการใช้พลังงานทดแทน รองลงมา คือ ด้านการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร และการนำระบบอัตโนมัติมาใช้ในสายการผลิต
สำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมจำนวน 2,050 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 51 เงินลงทุนรวม 832,114 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 25 โดยประเทศ/เขตเศรษฐกิจที่มีมูลค่าขอรับการส่งเสริมสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ (1) สิงคโปร์ 357,540 ล้านบาท 305 โครงการ(2) จีน 174,638 ล้านบาท 810 โครงการ (3) ฮ่องกง 82,266 ล้านบาท 177 โครงการ (4) ไต้หวัน 49,967 ล้านบาท 126 โครงการ และ (5) ญี่ปุ่น 49,148 ล้านบาท 271 โครงการ
สำหรับสหรัฐอเมริกา มีเงินลงทุน 25,739 ล้านบาท 66 โครงการ แต่หากนับรวมตัวเลขที่ลงทุนผ่านสิงคโปร์แล้ว จะมีมูลค่ารวมกว่า 70,000 ล้านบาท เนื่องจากการลงทุนของสิงคโปร์ที่สูงขึ้นมาก เกิดจากการลงทุนขนาดใหญ่ของบริษัทที่มีบริษัทแม่เป็นสัญชาติจีน และสหรัฐอเมริกา
ในแง่พื้นที่ เงินลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออก 573,066 ล้านบาท รองลงมา ได้แก่ ภาคกลาง 392,267 ล้านบาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 71,591 ล้านบาท ภาคเหนือ 42,525 ล้านบาท ภาคใต้ 37,215 ล้านบาท และภาคตะวันตก 21,843 ล้านบาท ตามลำดับ
สำหรับสถิติการออกบัตรส่งเสริม หลังจากที่บีโอไออนุมัติโครงการแล้ว บริษัทต้องมายื่นเอกสารด้านการเงิน และการจัดตั้งบริษัทเพื่อออกบัตรส่งเสริม ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ใกล้เคียงการลงทุนจริงมากที่สุด โดยในปี 2567 มีการออกบัตรส่งเสริม จำนวน 2,678 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 47 เงินลงทุน 846,461 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 72 เป็นสัญญาณที่ดีว่า ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า จะมีเม็ดเงินลงทุนจริงจำนวนมากเกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจ
ท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทายจากสงครามการค้า และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์โลก ประเทศไทยได้พิสูจน์ให้เห็นถึงจุดแข็งในการเป็นแหล่งรองรับการลงทุนที่มีความเป็นกลาง และน่าเชื่อถือของภูมิภาค โดยมหาอำนาจทั้งจีน และสหรัฐอเมริกาได้เพิ่มการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง รวมถึงกลุ่มนักลงทุนหลักอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น ฮ่องกง ไต้หวัน และยุโรป ก็ยังเดินหน้าขยายการลงทุนในไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น
เซมิคอนดักเตอร์ และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ ดาต้าเซนเตอร์ และบริการคลาวด์ที่รองรับเทคโนโลยี AI และดิจิทัลขั้นสูง ยานยนต์ไฟฟ้า และชิ้นส่วนสำคัญ และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งอุตสาหกรรมเหล่านี้จะมีความสำคัญต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ช่วยต่อยอดฐานอุตสาหกรรมเดิมให้มั่นคง สร้างมูลค่าจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ สร้างงาน และสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทย โดยโครงการที่ได้รับส่งเสริมในปี 2567 จะมีการจ้างงานบุคลากรไทยเพิ่มกว่า 2.1 แสนคน จะใช้วัตถุดิบ และชิ้นส่วนในประเทศกว่า 1 ล้านล้านบาทต่อปี และจะเพิ่มมูลค่าส่งออกของประเทศอีกกว่า 2.6 ล้านล้านบาทต่อปี”
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในปี 2568 นายนฤตม์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวโน้มการลงทุนในปี 2568 จะยังคงเติบโตต่อเนื่องจากปี 2567 และยังเป็นปีแห่งโอกาสที่ประเทศไทยจะสามารถดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยมีปัจจัยหนุนที่สำคัญ ได้แก่ ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า และการกีดกันทางเทคโนโลยีที่คาดว่าจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ซึ่งจะผลักดันให้นักลงทุนต้องเร่งเคลื่อนย้ายฐานการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง โดยไทยมีความพร้อม และมีศักยภาพในหลายๆ ด้าน
อีกทั้งมีความสัมพันธ์ที่ดีกับนานาประเทศ สามารถเป็นสะพานเศรษฐกิจเชื่อมโยงซัพพลายเชนให้กับมหาอำนาจขั้วต่างๆ ได้ นักลงทุนจึงมองไทยเป็นแหล่งลงทุนที่มีความมั่นคงปลอดภัย และมีความโดดเด่นในภูมิภาค
สำหรับทิศทางนโยบายส่งเสริมการลงทุนในปี 2568 บีโอไอจะเดินหน้าดึงการลงทุนเพื่อสร้างฐานอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงของภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นยานยนต์ไฟฟ้า และชิ้นส่วนสำคัญ แบตเตอรี่ เซมิคอนดักเตอร์ และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์อัจฉริยะ ระบบอัตโนมัติ และหุ่นยนต์ ดาต้าเซนเตอร์ และบริการคลาวด์ เทคโนโลยี AI และดิจิทัลขั้นสูง และเทคโนโลยีชีวภาพ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมอุตสาหกรรม และบริการที่ประเทศไทย มีความเข้มแข็ง อย่างเกษตร และอาหาร พลังงานสะอาด การแพทย์และสุขภาพ การท่องเที่ยว รวมถึงกิจการศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ ทั้งสำนักงานภูมิภาค (Regional Headquarters) ศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ และศูนย์กระจายสินค้า และศูนย์กลางจัดซื้อจัดหาชิ้นส่วนระหว่างประเทศ
นอกจากบทบาทหลักของสำนักงานแล้ว บีโอไอยังมีภารกิจสำคัญในการร่วมขับเคลื่อนการสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ของรัฐบาล ผ่านบอร์ดระดับชาติ 2 คณะ คือ คณะกรรมการนโยบายอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงแห่งชาติ (บอร์ดเซมิคอนดักเตอร์) และคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) ซึ่งจะผนึกกำลังภาครัฐ และเอกชน เพื่อสร้างฐานที่มั่นคงของทั้งสองอุตสาหกรรมนี้ ทั้งด้านการจัดทำแผนพัฒนาอุตสาหกรรม การกำหนดมาตรการสนับสนุน การพัฒนาบุคลากร การปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ ให้เอื้อต่อการลงทุน รวมถึงการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้เข้าไปอยู่ในซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมระดับโลก โดยบีโอไอให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้เกิดการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ การรับช่วงการผลิต การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติ ผ่านการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการจัดงาน SUBCON Thailand กิจกรรม Sourcing Day และการจับคู่ธุรกิจ ซึ่งในปีที่ผ่านมา มีการจับคู่ธุรกิจกว่า 9,200 คู่ คาดว่าจะเกิดมูลค่าซื้อขายชิ้นส่วนในประเทศกว่า 44,000 ล้านบาท
สำหรับการจัดโรดโชว์การลงทุนในปีนี้ บีโอไอมีแผนจัดทัพบุกประเทศเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง ทั้งจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ตะวันออกกลาง สหรัฐอเมริกา และยุโรป เพื่อดึงการลงทุนอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่มีนวัตกรรม และเทคโนโลยีขั้นสูง รวมทั้งต่อยอดฐานอุตสาหกรรมสำคัญในประเทศไทยให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการไทย และขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
ที่มา https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1161794