3 ความเสี่ยงอุตฯชิ้นส่วนรถยนต์ กสิกรฯคาดปีนี้ “ยอดขาย-ส่งออก” ส่อหดตัว ?


ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิด 3 ความเสี่ยงอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ไทย คาดการณ์ปีนี้ ชิ้นส่วนประเภท OEM ทั้งยอดขาย-ส่งออก ส่อหดตัว จากปริมาณการผลิตรถยนต์ในไทยที่หดตัว คาดสิ้นปีนี้หดตัว 11% เหลือ 1.64 ล้านคัน และปัญหากำลังซื้อชะลอลง-การนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น
วันที่ 10 กันยายน 2567 นางสาวหทัยวัลคุ์ ตุงคะธีรกุล เจ้าหน้าที่วิจัยอาวุโส ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) เปิดเผยถึง “แนวโน้มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ไทย” ว่า ไทยนับเป็นหนึ่งในประเทศฐานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์หลักแห่งหนึ่งของโลก จากการเป็นฐานประกอบรถยนต์มากกว่า 1.8 ล้านคัน ในปี 2566 ซึ่งสูงเป็นอันดับ 10 ของโลก โดยอาศัยห่วงโซ่อุปทานที่ครบวงจร ตั้งแต่การเป็นแหล่งผลิตวัตถุดิบสำคัญหลายรายการ เช่น ยางและพลาสติก เป็นต้น
ซึ่งจะนำมาผลิตเป็นชิ้นส่วนรถยนต์ 2 กลุ่ม ได้แก่ ชิ้นส่วนรถยนต์ประเภท OEM ที่ส่งเข้าสู่สายการผลิต รองรับการผลิตรถยนต์ และชิ้นส่วนประเภท REM รองรับตลาดซ่อมบำรุง โดยแม้จะมีการนำเข้าชิ้นส่วนบางรายการเข้ามา แต่ก็เป็นสัดส่วนที่ไม่สูงมาก ก่อนส่งให้กับกลุ่มลูกค้าทั้งบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ ร้านอะไหล่ และอู่ซ่อมรถ ทั้งในและต่างประเทศ
คาดยอดขายชิ้นส่วน OEM ในประเทศ หดตัว 11.9%
โดยในปี 2567 คาดว่ายอดขายชิ้นส่วน OEM ไทยในประเทศ โดยรวมมีแนวโน้มหดตัว 11.9% เหลือ 5.19 แสนล้านบาท จากปริมาณการผลิตรถยนต์ในไทยที่หดตัว โดยการผลิตรถยนต์ในไทยปี 2567 คาดหดตัว 11% เหลือ 1.64 ล้านคัน หลังยอดขายรถในประเทศหดตัวสูง จากปัญหากำลังซื้อผู้บริโภคที่ชะลอลง ส่งผลต่อการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น อีกทั้งการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ที่เพิ่มขึ้นจากโครงการ EV3.5 ยังทำให้ปริมาณรถที่ผลิตในไทยยิ่งลดลง และแม้จะมีการผลิต BEV ชดเชยจากโครงการ EV 3.0 เข้ามา แต่คาดว่าปริมาณจะยังน้อยมากไม่ถึง 2 หมื่นคัน นอกจากนี้ชิ้นส่วน OEM ไทยที่สามารถเข้าสายการผลิต BEV ได้ อาจเหลือไม่ถึงครึ่งหนึ่งของที่ใช้ผลิตรถยนต์นั่งและรถปิกอัพในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ที่ราว 60% และ 90% ตามลาดับ ทำให้ความต้องการชิ้นส่วน OEM โดยรวมลดลง
ส่งออกชิ้นส่วน OEM ลดลง 2.9% ขณะที่ยอดส่งออกชิ้นส่วน OEM ไทยไปต่างประเทศในปี 2567 คาดลดลง 2.9% เหลือ 2.19 แสนล้านบาท ผลจากปริมาณการผลิตรถยนต์ในตลาดส่งออกที่หดตัวลง โดยตลาดส่งออกชิ้นส่วน OEM ไทย โดยเฉพาะกลุ่มประเทศอาเซียนอื่น (ไม่รวมไทย) คาดว่าจะมีปริมาณการผลิตรถยนต์ลดลง 11.2% เหลือ 2.18 ล้านคัน นำโดยอินโดนีเซียที่เจอปัญหายอดขายรถยนต์ในประเทศที่หดตัวสูงจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อรถ ขณะที่เวียดนามก็เริ่มหันนำเข้ารถยนต์แทนการผลิตในประเทศมากขึ้น ซึ่งทั้ง 2 ประเทศนี้ มีส่วนแบ่งการผลิตรถยนต์ในอาเซียนอื่น (ไม่รวมไทย) สูงถึงราว 60% ทำให้การนำเข้าชิ้นส่วน OEM ไทยมีทิศทางที่ลดลงตาม
คาดยอดขายชิ้นส่วน REM ในประเทศ เพิ่มขึ้น 6.4%
สำหรับในปี 2567 คาดว่ายอดขายชิ้นส่วน REM ไทยในประเทศ น่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 6.4% สู่ 1.24 แสนล้านบาท โดยมีปัจจัยหลักจากปริมาณรถยนต์สะสมบนถนนที่เพิ่มขึ้นในประเทศ โดยรถยนต์จดทะเบียนสะสมในไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนคาดว่าในปี 2567 จะขึ้นไปสูงถึง 21.26 ล้านคัน โดยมีสัดส่วนของรถยนต์ที่มีอายุเกิน 7 ปี เพิ่มขึ้นเป็น 68% จากผลของภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว ทำให้ผู้บริโภคยืดอายุการใช้งานรถยนต์นานขึ้น ส่งผลให้ความต้องการใช้ชิ้นส่วน REM เพิ่มสูงขึ้น โดยชิ้นส่วน REM ไทยคาดว่าน่าจะมีส่วนแบ่งในตลาดสูงถึงมากกว่า 60% ส่วนที่เหลือคาดเป็นชิ้นส่วน REM นำเข้า โดยมีจีนเป็นประเทศส่งออกหลักมายังไทย ขณะที่ยอดส่งออกชิ้นส่วน REM ไทย ก็คาดขยายตัวเพิ่มเล็กน้อยที่ 2% สู่ 2.51 หมื่นล้านบาท หลังเจอการแข่งขันจากชิ้นส่วน REM จีนที่ส่งไปแข่งในตลาดส่งออกเดิมของไทยมากขึ้น โดยการส่งออกรถยนต์จากจีนที่เริ่มกินส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ส่งออกจากไทย โดยเฉพาะในตลาดหลักอย่างอาเซียนที่มากขึ้น จนในปีที่แล้วไทยเหลือส่วนแบ่งการนำเข้ารถยนต์ของตลาดอาเซียน (ไม่รวมไทย) เพียง 24.6% ซึ่งปัจจัยนี้มีผลทำให้ความต้องการใช้ชิ้นส่วน REM ไทยที่ส่งออกไปยังตลาดอาเซียนลดลง จนเหลือส่วนแบ่งเพียง 19.6% เช่นกัน สวนทางกับการนำเข้าจากจีนที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนมีส่วนแบ่งถึง 25.1%
ผลกระทบต่อการส่งออกชิ้นส่วน REM ไทยในปี 2567 นี้ แม้จะยังไม่มาก เพราะยังมีความต้องการใช้จากรถยนต์เก่าที่เคยส่งออกจากไทยที่อยู่ในตลาดเหล่านั้นค่อนข้างมาก แต่ในอนาคตผลกระทบคาดว่าจะรุนแรงขึ้นหลังจีนมีแนวโน้มส่งออกรถยนต์ไปยังอีกหลายตลาดส่งออกของไทยมากขึ้น
3 ความเสี่ยงอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ไทย สำหรับความเสี่ยงอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ไทย ประกอบด้วย 
1.การเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีรถยนต์ BEV ซึ่งกระทบโดยตรงต่อความต้องการใช้ชิ้นส่วนรถยนต์ใช้น้ำมัน เมื่อการผลิต BEV น่าจะเริ่มกินส่วนแบ่งของรถยนต์ใช้น้ำมันอย่างรวดเร็วในอีก 1-2 ปีข้างหน้า หลังค่ายรถที่เข้าร่วมโครงการ EV3.0 และ EV3.5 ต้องผลิตรถชดเชยการนำเข้าที่ปัจจุบันมีมากกว่า 100,000 คัน นอกจากนี้ แม้จะมีชิ้นส่วนรถยนต์ไทยบางส่วนที่สามารถเข้าสายการผลิตรถยนต์ BEV ได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าปริมาณชิ้นส่วนที่ใช้ในการผลิต BEV นั้นลดน้อยลงมาก และยังมีการนำเข้าชิ้นส่วนจากจีนมาผลิตเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งก็จะกระทบโดยตรงต่อชิ้นส่วนรถยนต์ไทย
2.การแข่งขันกับชิ้นส่วนส่งออกจากจีนที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นมากทั้งในประเทศและตลาดส่งออก โดยเป็นผลทั้งจากการเพิ่มกำลังการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ของจีนอย่างรวดเร็วเพื่อรองรับการผลิตรถยนต์ในจีนเอง ซึ่งต้องหาตลาดส่งออกเพื่อให้ผลิตได้ต้นทุนต่ำ กับการที่รถยนต์ส่งออกจากจีนกำลังเผชิญปัญหาการกีดกันการค้าจากสหรัฐ สหภาพยุโรป แคนาดา ซึ่งอาจรวมถึงประเทศพันธมิตรอื่นในอนาคต ทำให้ทั้งรถยนต์จากจีนต้องหาตลาดส่งออกมากขึ้น ทั้งมายังไทยหรือตลาดส่งออกเดิมของไทย ซึ่งก็จะกระทบทั้งชิ้นส่วน OEM และ REM ในประเทศของไทยเอง หรือการจะส่งออกไปยังประเทศส่งออกหลักเดิมของไทยที่ลดลงจากการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้นมาก
3.นโยบายรัฐที่อาจมีผลต่อความต้องการใช้ชิ้นส่วนรถยนต์ เช่น การกำจัดซาก หรือรถเก่าแลกรถใหม่ ที่อาจถูกนำมาพิจารณาใหม่ได้อีกในอนาคต เพื่อรักษายอดการผลิตรถยนต์ใหม่ในประเทศ โดยโครงการแม้จะช่วยดึงความต้องการชิ้นส่วน OEM เพิ่มขึ้นได้บ้าง แต่ความต้องการชิ้นส่วน REM ย่อมลดลงจากปริมาณรถเก่าที่หายไป อย่างไรก็ดี ยังมีประเด็นที่ต้องพิจารณาทั้งเรื่องงบประมาณ ประเภทรถที่จะสนับสนุนว่าจะช่วยกระตุ้นการใช้ชิ้นส่วน OEM ในประเทศจริงหรือไม่ รวมถึงตลาดรถมือสอง
ส่องกำไรผู้ประกอบการห่วงโซ่ชิ้นส่วนรถยนต์
โดยผู้ประกอบการในห่วงโซ่ชิ้นส่วนรถยนต์ไทยที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ในส่วนผู้ผลิตวัตถุดิบ AMC, INOX, PTTGC, TRUBB, CEN, IVL, SMIT, TSTH, CITY, LHK, SSSC, TYCN, CSP, MILL, STA, GJS, NER, TEGH, GSTEEL, PERM, TMT ในช่วงครี่งปีแรกปี 2567 มียอดขาย 737,614 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) มีกำไรสุทธิ 21,405 ล้านบาท ลดลง 590% YOY และผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ 3K-BAT, PCSGH, TKT, AH, POLY, TNPC, CWT, SAT, TRU, DELTA, SNC, TSC, IHL, SPG, METCO, STANLY มียอดขาย 126,053 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% YOY มีกำไรสุทธิ 13,802 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% YOY และลูกค้า ACG, MGC, NEX ซึ่งพบว่าในช่วงครี่งปีแรกปี 2567 มียอดขาย 11,745 ล้านบาท ลดลง 34% YOY มีกำไรสุทธิ 134 ล้านบาท ลดลง 118% YOY
ที่มา https://www.prachachat.net/finance/news-1649115


















11/09/2024