โดยหลังจากนี้ กยท.จะรับซื้อยางโดยตรงจากเกษตรและสถาบันที่ราคาชี้นำมาขายต่อไป ส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อวงการยางพาราไทย ดังนี้ คือ 1. ได้ขยายช่องทางการจำหน่ายไปต่างประเทศ เพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้านการตลาดของ กยท.และเพิ่มอำนาจการต่อรองในเวทีโลก 2. ยกระดับราคายางไปสู่ราคาเป้าหมายนำ 3.สร้างแบรนด์ กยท.ให้เป็นที่ยอมรับในกลุ่มธุรกิจยางทั่วโลก เพื่อการส่งออกเพิ่มขึ้นในอนาคต
อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากการเจรจาซื้อขายโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในรอบนี้แล้ว ในวันที่ 15-19 พ.ย.62 กระทรวงพาณิชย์ นำโดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ จะนำคณะเดินทางไปเปิดตลาดยางที่ประเทศตุรกีและเยอรมนีต่อไป
ด้านนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรฯ ได้ดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยางพารา ระยะที่ 1 วงเงินประมาณ 24,000 ล้านบาท ตามนโยบายของรัฐบาลและตามคำแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา โดยสามารถ "ทำได้ไว ทำได้จริง" ภายในเวลาเพียง 98 วันหลังการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยเกษตรกรชาวสวนยางได้ขึ้นทะเบียนและแจ้งพื้นที่ปลูกยางกับ กยท.ก่อนวันที่ 12 ส.ค.62 ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ไร่ เป็นสวนยางอายุ 7 ปี ขึ้นไป ราคาในโครงการประกันรายได้ คือ ยางแผ่นดิบคุณภาพดี กก.ละ 60 บาท, น้ำยางสด กก.ละ 57 บาท, ยางก้อนถ้วย กก.ละ 23 บาท และเกษตรกรชาวสวนยางที่ขึ้นทะเบียนและแจ้งข้อมูลพื้นที่ปลูกยางกับ กยท.จำนวน 1,711,252 ราย เป็นยางแผ่นดิบ 150,803 ราย น้ำยางสด 470,767 ราย และยางก้อนถ้วย 790,447 ราย ซึ่งโครงการนี้ kick off จ่ายเงินงวดแรกพร้อมกันทั่วประเทศไปแล้วเมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ รัฐบาลและกระทรวงเกษตรฯ ได้มีมาตรการเสริม หรือมาตรการคู่ขนาน คือ 1. โครงการสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อใช้ในการรวบรวมยาง (วงเงิน 10,000 ล้านบาท) เพื่อสนับสนุนสินเชื่อให้กับสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชนที่มีการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับยางพารา นำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการรวบรวมหรือรับซื้อยางพาราจากเกษตรกรชาวสวนยาง และสถาบันเกษตรกรได้รับอนุมัติวงเงินกู้ยืมจาก ธ.ก.ส. จำนวน 388 แห่ง เป็นเงินกว่า 7,000 ล้านบาท และได้เบิกเงินกู้จริงจาก ธ.ก.ส. จำนวน 375 แห่ง เป็นเงินกว่า 10,000 ล้านบาท
2. โครงการสนับสนุนสินเชื่อสถาบันเกษตรกรเพื่อแปรรูปยางพารา (วงเงิน 5,000 ล้านบาท) ระยะเวลาดำเนินงาน 1 ก.ย. 57 - 31 ธ.ค. 63
3. โครงการสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง (น้ำยางข้น) (วงเงิน 10,000 ล้านบาท) ระยะเวลาดำเนินงาน พ.ค. 60 - เม.ย. 62
4. โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง (ยางแห้ง) (20,000 ล้านบาท) เพื่อดูดซับยางออกจากระบบประมาณ 11% ของผลผลิตยางแห้ง หรือ 350,000 ตัน จากผลผลิตยางแห้งทั้งปี ที่มีประมาณ 3,200,000 ตัน
5.โครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง (วงเงินสินเชื่อ 25,000 ล้านบาท) ระยะเวลาดำเนินงาน ปี 59 – 69 เป้าหมายเป็นผู้ประกอบการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางขั้นปลายน้ำ ทั้งผลิตภัณฑ์ยางจากน้ำยางข้นและผลิตภัณฑ์ยางจากยางแห้ง ที่ใช้ยางพาราในประเทศ เน้นแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ยางที่มีมูลค่าสูง เช่น ถุงมือยาง ยางยืด ยางล้อ ยางที่ใช้ในงานวิศวกรรม และอื่นๆ
6.โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางและสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง
7.โครงการสินเชื่อเกษตรกรชาวสวนยางพารารายย่อย เพื่อประกอบอาชีพเสริม (พ.ย.57-พ.ย.62) (งบประมาณ 15,000 ล้านบาท)
8. โครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง ไร่ละ 1,800 บาท ไม่เกิน 15 ไร่ (แบ่งเป็นชาวสวน 1,100 บาท/คนกรีด 700 บาท) ระหว่าง ธ.ค.61-ก.ย.62 (งบประมาณ 17,007 ล้านบาท)
9. โครงการบริหารจัดการรักษาเสถียรภาพราคายางพาราของสถาบันเกษตรกร โดยให้ใช้สินเชื่อจากสภาพคล่อง ธ.ก.ส. ในวงเงิน 5,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 4% ต่อปี ระยะเวลาโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.61 - 28 ก.พ.63
10.โครงการ 1 หมู่บ้าน 1 กิโลเมตร สร้างถนนพาราซอยด์ซีเมนต์ (parasoil-cement) ทั่วประเทศจำนวน 75,032 หมู่บ้าน หมู่บ้านละ 1 กม. รวมระยะทาง 75,032 กม.(ระยะเวลาดำเนินงาน เดือน ธ.ค.61 - ก.ย.62 เงินงบประมาณ 92,327 ล้านบาท)
11.โครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐ มุ่งผลักดันนโยบายการเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในประเทศ โดยกำหนดให้หน่วยงานภาครัฐใช้วัตถุดิบยางพาราจากชาวสวนยางและสถาบันเกษตรชาวสวนยาง
12.คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) กำหนดให้ผู้ประกอบกิจการยางที่มีปริมาณการรับซื้อตั้งแต่เดือนละ 5,000 กก.ขึ้นไป แจ้งปริมาณการซื้อ ปริมาณการจำหน่าย ปริมาณการใช้ไป ปริมาณคงเหลือ และสถานที่เก็บสินค้ายางพารา ตลอดจนให้จัดทำบัญชีคุมรายวัน เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ทุกเวลา
ด้านนายสุนันท์ นวลพรหมสกุล รักษาการผู้ว่า กยท. กล่าวว่า สถานการณ์ยางพาราประสบกับความท้าทายทั้งภายในและภายนอกประเทศ แต่ช่วงหลังราคายางเริ่มกระเตื้องขึ้น จากหลายปัจจัย เช่น 1. ความต้องการในตลาดโลกที่มากกว่าการผลิต 2. พื้นที่เพาะปลูกลดลง เนื่องจากมีการปลูกแบบผสมผสาน ทำให้ราคาสูงขึ้นในตลาดล่วงหน้าในต่างประเทศ 3.นโยบายยกระดับราคายางจากรัฐบาล 4. ราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นส่งผลให้ราคายางสังเคราะห์เพิ่มขึ้นตาม อย่างไรก็ตาม การยกระดับราคายางต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป และเห็นว่าปัจจุบันสถานการณ์ราคายางเริ่มปรับตัวดีขึ้นเรื่อยๆ