การโต้แย้งด้านภาษีนำเข้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน
ในช่วงที่ผ่านมาทำให้ผู้เชี่ยวชาญของ CIMB Equities Research
เชื่อว่าความต้องการถุงมือของสหรัฐฯ จะเปลี่ยนจากจีนมายังมาเลเซีย รัฐบาลสหรัฐฯ
ได้เพิ่มอัตราภาษีเป็น 25%
กับการนำเข้าสินค้าจากประเทศจีนที่มีมูลค่าต่อปี 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
และอาจจะเพิ่มอัตราภาษีให้ครอบคลุมสินค้ามูลค่า 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
การเพิ่มขึ้นนี้จะทำให้ผู้นำเข้าในสหรัฐเลือกถุงมือยางพารามากกว่าถุงมือไวนิลจากประเทศจีน
– ภาษีที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ถุงมือของจีนทั้งหมดที่ส่งออกมายังสหรัฐมีราคาสูงขึ้น
ในขณะเดียวกันก็ลดช่องว่างด้านราคาระหว่างถุงมือไวนิลและถุงมือยางพารา
ถุงมือไวนิลคิดเป็น 80% ของการส่งออกทั้งหมดของจีน
และใช้งานอย่างแพร่หลายในงานที่ไม่ใช่การแพทย์
ส่วนต่างราคาระหว่างถุงมือไวนิลและยางพาราในปัจจุบันอยู่ที่ 75-130% – โดยการนำเข้าถุงมือของสหรัฐเพียง 44%
เป็นถุงมือที่ทำจากพลาสติก (ไวนิล) ในไตรมาสแรกของปี ค.ศ. 2018
CIMB Research คาดว่าจะเห็นความต้องการถุงมือยางพาราจากมาเลเซียมากขึ้น
ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ผลิตถุงมือของมาเลเซีย – โดยมาเลเซียเป็นผู้ผลิตถุงมือประมาณ
63% ของการใช้งานทั้งโลก นอกจากนี้ ความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นจะช่วยบรรเทาสถานการณ์การแข่งขันด้านราคาให้ดีขึ้น
ซึ่งกำลังส่งผลต่อผู้ผลิตถุงมือของมาเลเซียเนื่องจากความสามารถในการผลิตที่เพิ่มมากขึ้น
คาดว่าจะมีการแข่งขันระหว่างผู้ส่งออกถุงมือชาวมาเลเซียเพิ่มขึ้น
พร้อมกับค่าเงิน RM ต่อ USD ที่อ่อนลง –
การคำนวณคิดตามการอ่อนตัวลงของริงกิตทุก 1% ต่อการเพิ่มขึ้นของ
EPS ของผู้ผลิตถุงมือที่ 0.4-0.5%
ทั้งนี้ โดยสมมติฐานว่า การประหยัดต้นทุน forex
ไม่ถูกส่งต่อไปยังลูกค้า
CIMB Research ยังคงเห็นว่าอุตสาหกรรมถุงมือของมาเลเซียยังคงมีมูลค่าดี
(overweight) “ที่ P/E 24.9 เท่าของ CY20
(+0.5 เท่าของค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี) โดย risk-reward
profile ของอุตสาหกรรมนี้เป็นที่น่าสนใจ
เมื่อพิจารณาถึงความสามารถในการปกป้องตัวเองของอุตสาหกรรมนี้
(ท่ามกลางตลาดที่ไม่แน่นอน) และสภาพแวดล้อมการดำเนินงานที่เอื้อประโยชน์มากยิ่งขึ้น
(ความต้องการถุงมือที่มากขึ้น และ RM ต่อ US$ ที่อ่อนตัวลง)
ที่มา http://rubberjournalasia.com/us-china-trade-war-could-help-malaysian-rubber-industry/