จากข้อมูลของ Global Forest Reporting Network การศึกษาใหม่ที่ตีพิมพ์เมื่อเร็วๆ
นี้ ใน Nature Communications ระบุว่า สวนยางในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
มีพื้นที่ประมาณ 86,000 ตร กม (33,200 ตร
ไมล์) ในขณะที่การปลูกยางขยายตัว
นักวิทยาศาสตร์และนักอนุรักษ์ธรรมชาติต่างก็มีความกังวลว่า
จะกระทบต่อป่าเขตร้อนและสัตว์ป่า โดยเฉพาะป่าในกัมพูชา จีน ลาว เมียนมาร์
และเวียดนาม นอกจากนี้ รายงานยังระบุว่า กำไรจากยางสูงกว่าราคาคาร์บอนเครดิตมาก
ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้เลิกการตัดไม้ทำลายป่า
และเสนอให้ขึ้นราคาเครดิตเพื่อปกป้องป่าไม้จากการขยายตัวของอุตสาหกรรมยาง
รายงานใหม่พบว่า ทีมงานพบว่า จะต้องขึ้นราคาคาร์บอนเครดิต 6-10 เท่า เพื่อให้เท่ากับรายได้ที่เกิดจากการทำสวนยาง
ทั้งนี้ คาร์บอนเครดิตที่ใช้ในการเลิกการตัดไม้ทำลายป่าในปัจจุบัน
มีราคาอยู่ระหว่าง 5 -
13 เหรียญสหรัฐฯ ต่อเมตริกตันของ CO2 แต่เพื่อให้เท่ากับรายได้ที่เกิดจากการเปลี่ยนป่าไม้ให้เป็นสวนยาง
ราคาจะต้องเพิ่มเป็นระหว่าง 30 - 51 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตันของ CO2
ทั้งนี้ ในการคำนวณ ทีมนักวิจัยใช้ราคาเฉลี่ย 10 ปี คือ 2,595 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตันของยาง
ซึ่งสูงกว่าราคายางในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ราคาในปี 2014 จะต่ำ คือ 1,644 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน แต่ราคาคาร์บอนเครดิตจะต้องอยู่ระหว่าง
11.52 - 27.82 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน CO2
เพื่อให้ได้จุดคุ้มทุนเมื่อเทียบกับกำไรจากยาง
การศึกษาสรุปว่า
ราคาคาร์บอนจะไม่มีแรงจูงใจที่มากพอที่จะช่วยปกป้องป่าไม้ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้จากการขยายตัวของยาง
จึงเสนอให้ขึ้นราคาคาร์บอน เพื่อทำให้สามารถแข่งขันได้กับรายได้จากยาง
และเสนอให้พัฒนาทางเลือกสังเคราะห์มากขึ้นและการรีไซเคิลยางที่มีประสิทธิผลมากขึ้น
Eleanor Warren-Thomas นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย East Anglia กล่าวว่า
ป่าไม้ดังกล่าวทดแทนไม่ได้ เพราะเป็นระบบนิเวศน์เฉพาะ ที่รองรับสัตว์ นก และพืชที่เสี่ยงกับการสูญพันธุ์
รวมทั้งไม้หายาก เช่น ไม้ชิงชัน
Warren-Thomas กล่าวว่า ถึงแม้การขยายตัวเกิดขึ้นด้วยวิธีดั้งเดิม โดยมีการปลูกพืชในป่า
แทนที่จะตัดไม้ แต่อุตสาหกรรมยางล้อ ต้องการพื้นที่ขนาดใหญ่ ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาทั้งของความหลากหลายทางชีวภาพและการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ
Warren-Thomas และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งอื่นๆ ในสหราชอาณาจักร
รวมทั้งสมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่า (Wildlife Conservation Society) ตั้งอยู่ในสหรัฐฯ และกรมป่าไม้ของกัมพูชา
ได้ศึกษาเรื่องกำไรของการปลูกยางและการตั้งราคาคาร์บอนเครดิตที่แข่งขันได้เพื่อให้เลิกการตัดไม้ทำลายป่า
คาร์บอนเครดิตเป็นวิธีที่จะจ่ายเจ้าของที่ดินให้คงป่าไม้ของตนไว้
และกันคาร์บอนให้ออกไปนอกบรรยากาศ
โดยเครดิตดังกล่าวบริหารโดยโครงการการเงินคาร์บอนและเป็นส่วนประกอบสำคัญของความมุ่งมั่นนานาชาติ
เช่น ข้อตกลงกรุงปารีส ที่มีเป้าหมายจะหยุดการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ
นักวิจัยระบุว่า ปัจจุบัน ยางมีราคาถูก
ซึ่งอาจชะลอการขยายตัวของยาง และอาจทำให้รัฐบาลประเทศต่างๆ
มีโอกาสพัฒนากลยุทธ์การใช้ที่ดินที่อาจบรรเทาความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมจากอุตสาหกรรมเกษตรได้
อย่างไรก็ตาม
ราคาค่อนข้างต่ำดูเหมือนจะไม่สามารถยับยั้งการขยายตัวของอุตสาหกรรมได้มากนัก เช่น Socfin บริษัทโภคภัณฑ์นานาชาติ
ตั้งอยู่ในยุโรป กำลังสร้างโรงงานแปรรูปยางแห่งแรกของบริษัทฯ เสร็จสิ้นลงในจังหวัด
Mondulkiri ของกัมพูชา Jef Boedt ผู้จัดการทั่วไปของ
Socfin ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ The Phnom Penh Post ว่า เขาคาดว่าราคาจะผันผวนระหว่าง 1,400 - 1,600 เหรียญสหรัฐฯ
ต่อตัน ในอีกสองสามเดือนข้างหน้า แต่คาดว่าจะมีแนวโน้มสูงขึ้น
Warren-Thomas กล่าวว่า ป่าไม้จะไม่ได้รับการปกป้องโดยการใช้เงินคาร์บอน หากเงินนั้นน้อยกว่ากำไรจากป่าไม้ที่ถูกตัดลง
เมื่อความต้องการที่ดินเพื่อปลูกยางทำให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่า
เงินคาร์บอนก็ไม่น่าจะเป็นทางเลือกที่น่าดึงดูดใจ
เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว
การศึกษาเสนอให้ขึ้นราคาคาร์บอน เพื่อให้แข่งขันได้กับอุตสาหกรรมเกษตร
เสนอให้การตัดไม้ทำลายป่าเป็นศูนย์สำหรับบริษัทต่างๆ และเสนอให้ภาครัฐออกกฎระเบียบมากขึ้นเกี่ยวกับการขยายพื้นที่ปลูกยางและบังคับใช้กฎหมายเพื่อปกป้องผืนป่า
อย่างไรก็ตาม Warren-Thomas กังวลว่า มาตรการดังกล่าวอาจเพียงพอ
ความเสี่ยงของยางอาจลดลงได้
โดยการแสดงเจตนารมณ์ว่าจะให้การตัดไม้ทำลายป่าเป็นศูนย์โดยบริษัทยางล้อรายใหญ่
กฎระเบียบของภาครัฐ หรือการบังคับใช้กฎหมายปัจจุบันในการปกป้องป่า แต่ในท้ายที่สุด
ความต้องการยางธรรมชาติอาจลดลง โดยการพัฒนาทางเลือกสังเคราะห์ต่อไป
หรือการปรับปรุงการรีไซเคิลยางธรรมชาติให้ดีขึ้น
ที่มา: http://www.therubbereconomist.com/News/Entries/2018/3/8_Entry_3.html