บริษัท Top Glove ของมาเลเซียเพิ่มการสนับสนุนหน่วยวิจัยและพัฒนาเพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาด


    บริษัท Top Glove ของมาเลเซีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตถุงมือจากยางธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดของโลก กำลังยกระดับการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาด  
    นาย Lim Wee Chai ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหารของ Top Glove ให้สัมภาษณ์ว่า บริษัทจะต้องคิดค้นวิธีการใหม่ๆ ทางด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์ การกำหนดราคาและต้นทุนให้ได้จึงจะสามารถทำสำเร็จ  
    ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทในปี 2534 Top Glove ได้สร้างโรงงานเฉลี่ย 1 โรงงานในแต่ละปี ดำเนินการผลิตในมาเลเซีย 23 โรงงาน ในประเทศไทย 4 โรงงาน และอีก 1 โรงงานในประเทศจีน  และกำลังเพิ่มกำลังการผลิตอีกร้อยละ 26 หรือเพิ่มเป็น 58,800 ชิ้น ภายในเดือนพฤษภาคม 2561 
    อย่างไรก็ตาม คู่แข่งที่สำคัญของ Top Glove คือบริษัท Hartalega กำลังพัฒนาใกล้เข้ามาทุกที Hartalega ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกในการผลิตถุงมือจากยางสังเคราะห์ได้พัฒนาใช้เงินลงทุน 2,260 ล้านริงกิต (527 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตถุงมืออีก  28,500 ล้านคู่ หรือให้ได้ปริมาณการผลิตรวม 42,000 ล้านคู่ภายในปี 2564
    นาย Lim ยังกล่าวต่ออีกว่า Hartalega จะเพิ่มจำนวนนักวิจัยอีก 2 เท่า จาก 100 คน เป็น 200 คนในปีหน้า โดยนักวิจัย 100 คน ที่มีอยู่แล้วซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่มากสำหรับบริษัทมาเลเซียที่มีรายได้ประจำปี 2,880 ล้านริงกิต นอกจากนี้จำนวนสิทธิบัตรของ Hartalega ก็เท่ากับของ top Glove คือมีการยื่นขอจดสิทธิบัตร 10 เรื่องต่อปี และพวกเขายังต้องการเพิ่มจำนวนเป็น 2 เท่า 
    กลุ่ม Top Glove ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในทุกที่ตั้งแต่ในบ้านจนถึงโรงพยาบาลกำลังจะเพิ่มกำลังการผลิตถุงมือไนไตรล์เกรดพรีเมียม ซึ่งเป็นถุงมือยางสังเคราะห์ที่เป็นทางเลือกนอกเหนือจากถุงมือยางธรรมชาติ
    ด้านความหวังที่จะเพิ่มยอดขายนั้น นาย Lim อธิบายว่า บริษัทเพิ่งเปิดตัวถุงมือไนไตรล์ที่มี 2 สี ซึ่ง ไม่มีสารตัวเร่งและมีให้การยึดจับดีขึ้น ตลาดมีความคาดหวังสูงขึ้นมาก ลูกค้าซึ่งกว่าร้อยละ 60 อยู่ในตลาดสหรัฐอเมริกาและทวีปยุโรปต้องการถุงมือที่มีราคาต่ำลงตลอดเวลา 
    วิธีหนึ่งที่บริษัทกำลังพยายามที่จะตอบสนองความต้องการดังกล่าวคือ การขยายการผลิตของโรงงานในภาคใต้ของประเทศไทย โดยเพิ่มกำลังการผลิตถุงมืออีก 1,400 ล้านชิ้น จากปัจจุบันอยู่ที่ 4,000 ล้านชิ้น ภายในปลายเดือนพฤศจิกายน  
    สมาคมผู้ผลิตถุงมือยางแห่งมาเลเซีย (MARGMA) ระบุว่า มีความกังวลว่าการขยายธุรกิจเชิงรุกโดยบริษัทถุงมือในอุตสาหกรรมจะทำให้มีอุปทานมากเกินไปจนกระทบต่อราคา แต่ความต้องการถุงมือยางทั่วโลกซึ่งใน 2-3 ปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 6-8 ต่อปี คาดว่าจะมีการเติบโตเช่นเดียวกับในปี 2559 โดยมีความต้องการอยู่ที่ประมาณ 190,000 ล้านชิ้น  
    Top Glove ตั้งเป้าผลิตถุงมือเพิ่มขึ้นอีกประมาณร้อยละ 10 สำหรับปีงบการเงินที่สิ้นสุดเดือนสิงหาคม ซึ่ง นาย Lim กล่าวว่าอัตราการเติบโตดังกล่าวจะทำให้บริษัทสามารถขยายยอดขายต่อปีได้ร้อยละ 25 เหมือนที่เคยทำมาได้ในรอบ 15 ปีที่ผ่านมา  
    Top Glove ส่งออกถุงมือไปยังประเทศต่างๆ 200 ประเทศ และกำลังขยายไปยังตลาดเกิดใหม่ เช่น อาร์เจนตินา, บราซิล, โคลัมเบีย, ซาอุดีอาระเบีย, อียิปต์, จีน และอินเดีย ซึ่ง Lim กล่าวว่า การเติบโตในตลาดเหล่านี้จะไล่แซงตลาดสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้จากประเทศอื่น ๆ เพิ่มขึ้น
    ส่วนกรณีที่มีความกังวลเกี่ยวกับการที่นาย Donald Trump ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต่อกรณีของการยกเลิกข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิค (Trans-Pacific Partnership) ที่จะส่งผลกระทบต่อการค้าเสรีนั้น นาย Lim กล่าวว่า เขาไม่ได้กังวลแม้ว่าสหรัฐฯ จะมีส่วนแบ่งยอดขายของ Top Glove ร้อยละ 30 เพราะการตัดสินใจที่สำคัญแบบนี้ไม่ได้ขึ้นกับนาย Trump คนเดียว  
 
    (ที่มา: http://rubberjournalasia.com, 18/11/2016) 


















23/11/2016